การประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัย
หน้าเว็บ
- หน้าแรก
- ประวัติส่วนตัว
- ประวัติกรณีศึกษา
- งานครั้งที่ 1
- งานครั้งที่ 3
- บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 1
- บันทึกการเรียนรุ้ครั้งที่ 2
- บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3
- บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4
- บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 5
- บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 6
- บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่7
- บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่8
- แบบฝึกหัด เทคนิควิธีการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย
- สรุปวิจัย 12 กลุ่ม
- ข้อสอบ 12 กลุ่ม
- บทความที่ 1
- บทความที่ 2
- บทความที่ 3
- ทะเบียนคุมชิ้นงาน
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563
ศิลปะสำหรับครูปฐมวัย
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2563
ดนตรีและเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย
เด็กเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่งเป็นความหวังของครอบครัว เป็นผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมและเป็นมนุษยชาติ เป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ อนาคตของประเทศชาติจึงขึ้นอยู่กับคุณภาพของเด็ก เด็กที่มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ มีพัฒนาการในทุก ๆ ด้าน ที่เหมาะสมกับวัย ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคมและจริยธรรม จะเป็นผู้ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
เด็กในวัยเริ่มแรกของชีวิต
หรือที่เรียกว่า “เด็กปฐมวัย” คือ วัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 8 ปี
จัดได้ว่าเป็นระยะที่สำคัญที่สุดของชีวิต ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
บุคลิกภาพโดยเฉพาะด้านสติปัญญา จะเจริญมากที่สุดในช่วงนี้ และพัฒนาการใด ๆ
ในวัยนี้จะเป็นพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการในช่วงอื่น ๆ
ของชีวิตเป็นอย่างมาก
ดังที่นักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้กล่าวถึงความสำคัญของเด็กในวัยนี้ดังนี้
เด็ก หมายถึง เด็กทารก
เด็กวัยเตาะแตะ และมีอายุตั้งแต่สามถึงห้าขวบ
นอกจากจะระบุไว้เป็นอย่างอื่นปฎิญญาแห่งเมลเบิร์นยังได้แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงผลลัพธ์ที่จะได้จากการศึกษาสำหรับชน
พื้นเมืองอะบอริจินและชาวเกาะที่อาศัยอยู่บริเวณช่องแคบตอเรสรุ่นหนุ่มสาวและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการศึกษาปฐมวัยสภาแห่งรัฐบาลออสเตรเลียมุ่งมั่นที่จะปิดช่องว่างที่ยังมีอยู่เพื่อ
ความสำเร็จด้านการศึกษาระหว่างชนพื้นเมืองเดิมและผู้ที่มิใช่ชนพื้นเมืองของออสเตรเลียภายในหนึ่งทศวรรษ3การศึกษาปฐมวัยมีบทบาทสำคัญในการเล่นในการส่งมอบผลลัพธ์ดังกล่าวนี้เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
จึงจะมีการพัฒนาเอกสารเฉพาะที่ช่วยให้นักการศึกษามีคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างความมั่นใจการรักษาความปลอดภัยทางวัฒนธรรมสำหรับเด็กชนพื้นเมืองอะบอริจินและชาวเกาะที่อาศัยอยู่บริเวณช่องแคบตอเรสและครอบครัวของพวกเขา
และจัดไว้ให้นักการศึกษาในอนาคต
อาจมีการพัฒนาเอกสารข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการประยุกต์ใช้กรอบการเรียนรู้นี้อีกด้วย
ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็ก และเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการพัฒนาเด็กในช่วงปฐมวัย คุณค่าที่สำคัญประการหนึ่งของดนตรี คือ ดนตรีจะให้โอกาสเด็กได้แสดงออกอย่างเปิดเผย โดยไม่มีความหวาดกลัว หรืออิจฉา ไม่สบายใจดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของการร้องเพลง การตอบสนองทางร่างกายต่อจังหวะการมีส่วนในการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ การเล่นเครื่องดนตรี และการฟังเพลงประสบการณ์ทางดนตรีจะสร้างความรักและความชื่นชมต่อดนตรี ควรมีกิจกรรมและประสบการณ์ดนตรีที่หลากหลาย ซึ่งจะทำให้เด็กปฐมวัยได้สนองความต้องการ และความสนใจของเขา กิจกรรมทางดนตรีสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการสอนด้านอื่นๆ เช่น ภาษา และคณิตศาสตร์ ให้เป็นการเรียนที่มีความหมายและดนตรียังเป็นการช่วยให้เด็กเข้าใจถึงวัฒนธรรมและผู้คนอีกด้วย
เด็กทั่วไปมักจะชองเสียงดนตรี
จะเห็นได้ว่าเด็กเริ่มตั้งแต่วัยทารก อยู่ในบรรยากาศของเพลงเห่กล่อมของบิดา มารดา
และผู้คนที่อยู่โดยรอบตัวธรรมชาติของเด็กเมื่อได้ยินเสียงเพลง ก็จะฟังอย่างตั้งใจ
สีหน้าจะแสดงความรื่นรมย์ สบายอกสบายใจ อาจจะมีการขยับแขนขา ขยับมือ
ขยับเท้าโยกตัวไปมาตามจังหวะเพลงหรือดนตรี
สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามอัตโนมัติ อย่างแทบจะไม่ต้องสอนกันเลย
กิจกรรมดนตรีเป็นศิลปะเชิงการแสดงออก (Expressive Art) ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของความเจริญงอกงามและการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์
ดนตรีเป็นประสบการณ์สำคัญส่วนหนึ่งของหลักสูตรสำหรับเด็กปฐมวัย เด็กเรียนรู้การฟัง
การเคลื่อนไหว การร้องเพลง และการเล่นเครื่องดนตรีง่ายๆ
ในห้องเรียนที่แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศที่ส่งเสริมทางด้านดนตรี
ดนตรีเข้ามามีบทบาทและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะเด็กปฐมวัย ดนตรีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กในวัยนี้ก็เพราะว่าดนตรีทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเป็นสุข สนุกสนาน ทำให้เขาได้ใช้จินตนาการ ความนึกฝันส่วนตัวเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์บุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และสังคมของเด็กให้พัฒนาไปได้อย่างเหมาะสมสมกับวัยของเด็ก ถ้าเด็กได้รับการส่งเสริมให้ได้แสดงออกทางดนตรี เด็กจะได้พัฒนาทางด้านจิตใจ อารมณ์ ความคิด จินตนาการสังคม การสื่อความหมายและการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดตลอดจนลักษณะลีลาท่าทางที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้เด็กมีความมั่นคงทางอารมณ์ มีสุขภาพจิตและสุขภาพกายดี ตลอดจนเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง
องค์ประกอบของดนตรี
องค์ประกอบของดนตรี คือ
ส่วนสำคัญพื้นฐานที่ทำให้เกิดเป็นดนตรีขึ้น
ทั้งนี้โดยจะกล่าวถึงองค์ประกอบของดนตรีโดยรวม มิได้ยึดเอาหลักเกณฑ์ของดนตรีใดเป็นมาตราฐาน
องค์ประกอบของดนตรีที่สำคัญประกอบไปด้วยปัจจัยเหล่านี้คือ เสียง ทำนอง เสียงประสาน
จังหวะ และรูปแบบของดนตรี
1. เสียง (Tone)
เป็นการยากที่จะกล่าวหรือระบุได้
ว่าดนตรีเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถหาหลักฐานมาอ้างอิงได้อย่างแน่ชัด
จึงได้แต่เพียงสันนิษฐานและตั้งข้อสังเกตจากโบราณวัตถุหรือหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
โดยสันนิษฐานตามหลักการและเหตุผล และคำนึงถึงความเป็นไปได้มากที่สุด
ข้อสันนิษฐานที่เกี่ยวกับกำเนิดของดนตรีมีดังนี้
ลักษณะเสียงที่เรียกว่า Tone
นั้นจะมีความแตกต่างไปจากเสียงที่มีความหมายว่า Noise เนื่องจากลักษณะของการเกิดเสียงที่เรียกว่า Tone นั้นเกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนเสียงในความหมายว่า Noise นั้นเกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่ไม่สม่ำเสมอ
เสียงดนตรีไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เกิดจากการเป่า การร้อง การดีด หรือการสี
จะเป็นลักษณะเสียงที่เรียกว่า Tone เพราะการสั่นสะเทือนเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
เสียงประกอบไปด้วยคุณสมบัติสำคัญ
4 ประการคือ ระดับเสียง ความสั้นยาวของเสียง ความดังเบาของเสียง และสีสันของเสียง
ระดับเสียง (Pitch)
ระดับเสียง หมายถึง
ความสูงต่ำของเสียงในเชิงภายภาพ หากความถี่ของการสั่นสะเทือนเป็นไปอย่างรวดเร็ว
จะทำให้เกิดเสียงสูง ถ้าความถี่ของการสั่นสะเทือนเป็นลักษณะช้า
จะทำให้เกิดเสียงต่ำ หูของมนุษย์สามารถแยกเสียงตั้งแต่ระดับความถี่ของการสั่นสะเทือน
16 ครั้ง / วินาที จนถึง 20,000 ครั้ง / วินาที
ความสั้น - ยาวของเสียง (Duration)
เสียงดนตรีจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของความสั้น ยาวของเสียง
กล่าวคือบางครั้งเราจะได้ยินลักษณะของการลากเสียงยาวๆ
หรือบางครั้งก็จะเป็นลักษณะห้วนๆสั้นๆ ความแตกต่างกันในลักษณะนี้เรียกว่า ความสั้น
- ยาวของเสียง
ความดัง - เบาของเสียง (Dynamics)
เสียงดนตรีจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของความดัง - เบาของเสียงเช่นกัน
กล่าวคือบางครั้งเราจะได้ยินการบรรเลงเพลงที่มีเสียงดัง อึกทึกครึกโครม
ตรงกันข้ามบางครั้งก็จะได้ยินเสียงดนตรีที่นุ่มนวล หรือแผ่วเบา
ลักษณะของการเกิดเสียงแบบนี้เรียกว่า ความดัง - เบาของเสียง
ความดัง - เบาของเสียง
อาจจะเกิดขึ้นในลักษณะเบาหรือดังขึ้นทันทีทันใด
หรืออาจจะเป็นลักษณะค่อยๆเบาลงหรือค่อยๆดังขึ้น
ในดนตรีตะวันตกจะมีการบอกหรือแสดงเครื่องหมายไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องบรรเลง
อย่างไร โดยใช้อักษรย่อจากคำเต็มในภาษาอิตาเลียน ได้แก่
fff มาจากคำเต็มว่า fortississimo หมายถึง ดังที่สุด
ff มาจากคำเต็มว่า fortissimo หมายถึง ดังมาก
f มาจากคำเต็มว่า forte หมายถึง ดัง
mf มาจากคำเต็มว่า mezzo
forte หมายถึง ปานกลางค่อนข้างดัง
mp มาจากคำเต็มว่า mezzo
piano หมายถึง ปานกลางค่อนข้างเบา
p มาจากคำเต็มว่า piano หมายถึง เบา
pp มาจากคำเต็มว่า pianissimo หมายถึง เบามาก
ppp มาจากคำเต็มว่า pianississimo หมายถึง เบาที่สุด
และยังมีสัญลักษณ์ที่แสดงถึงลักษณะเสียงที่ค่อยๆดังขึ้น
เรียกว่า Crescendo และค่อยๆเบาลง เรียกว่า Decrescendo
อีกด้วย
ในวัฒนธรรมดนตรีอื่นๆอาจจะไม่ได้มีเครื่องหมายแสดง
ลักษณะเสียงที่ชัดเจน แต่การบรรเลงจะเป็นไปในลักษณะของการใช้ความรู้สึกเป็นตัวกำหนด
สีสันของเสียง (Tone
Color)
สีสันของเสียง (Tone Color หรือ Timbre) หมายถึง
ความแตกต่างของเสียงซึ่งมาจากแหล่งกำเนิดเสียงที่ต่างกัน
ซึ่งได้แก่เสียงของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ รวมไปถึงเสียงร้องของมนุษย์ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ในบทเพลงๆหนึ่ง
หากขับร้องโดยผู้ชายก็จะได้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการขับร้องโดยผู้หญิง
หรือในการบรรเลงดนตรี
หากเป็นการบรรเลงเดี่ยวก็จะมีความแตกต่างไปจากการบรรเลงเป็นวง
หรือบรรเลงโดยเครื่องดนตรีที่ต่างชนิดกัน ลักษณะที่แตกต่างกันนี้เรียกว่าสีสันของเสียง
คุณสมบัติทั้ง 4
ประการของเสียงรวมกันทำให้เกิดเสียงดนตรีที่หลากหลายจนทำให้ดนตรีเป็นศิลปะ
อย่างหนึ่ง โดยสรุปเสียงดนตรีมีได้ตั้งแต่ ต่ำ - สูง สั้น - ยาว เบา - ดัง
และมีเสียงที่แตกต่างกันของเครื่องดนตรีแต่ละชนิด
2.
ทำนอง (Melody)
ทำนองคือ
การจัดเรียงของเสียงที่มีความแตกต่างกันของระดับเสียงและความยาวของเสียง
โดยทั่วไปดนตรีจะประกอบไปด้วยทำนองซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ง่ายต่อการจดจำมาก ที่สุด
ทำนองมีหลายลักษณะแตกต่างกันออกไป องค์ประกอบของทำนองที่ควรทราบได้แก่
จังหวะของทำนอง (Melodic
Rhythm)
จังหวะของทำนองคือ
ความสั้นยาวของระดับเสียงแต่ละเสียงที่ประกอบกันเป็นทำนอง
มิติของทำนอง (Melodic
Dimensions)
มิติของทำนอง ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
ความยาวและช่วงกว้าง
ความยาว (Length) ทำนองบางครั้งอาจจะสั้นๆเป็นส่วนๆ
ซึ่งส่วนที่เล็กสุดหรือสั้นที่สุดเรียกว่า โมทีฟ (Motive) บางครั้งอาจเป็นทำนองที่ยาวมากๆ
ช่วงกว้าง (Range)
คือ ระยะระหว่างระดับเสียงต่ำสุดจนถึงระดับเสียงสูงสุด
ช่วงเสียงของทำนอง (Register)
ทำนองเพลงอาจจะอยู่ในช่วงเสียงใดช่วงเสียงหนึ่ง
เช่น ในช่วงเสียงต่ำ กลาง หรือสูง
บางครั้งทำนองอาจจะเคลื่อนที่จากช่วงเสียงหนึ่งไปยังอีกช่วงเสียงหนึ่งก็ได้
ทิศทางของทำนอง (Direction)
ทิศทางของทำนองหมายถึง
การเคลื่อนที่ของทำนอง กล่าวคือทำนองอาจจะเคลื่อนที่ไปในหลายทิศทาง เช่น
เคลื่อนที่ขึ้น เคลื่อนที่ลง หรืออยู่กับที่
โดยปกติทำนองมักจะเคลื่อนที่ขึ้นจุดสูงสุดเมื่อเนื้อหาของเพลงดำเนินไปถึง
จุดสำคัญที่สุด ปกติการเคลื่อนที่ของทำนองอาจจะเป็นในลักษณะกระโดด (Disjunct
Progression) หรือเรียงกันไป (Conjunct Progression) บทเพลงนั้นจะน่าสนใจ น่าฟัง หรือชวนฉงนสงสัย
ขึ้นอยู่กับผลรวมของคุณสมบัติต่างๆของทำนอง
ทำนองจัดเป็นลักษณะพื้นฐานของดนตรีหรือบทเพลง
โดยทั่วไปทำนองที่เป็นหลักในบทเพลงหนึ่งจะเรียกว่าทำนองหลัก (Main Theme) ในแต่ละบทเพลงอาจจะมีทำนองหลักได้มากกว่า 1 ทำนอง
3. เสียงประสาน (Harmony)
เสียงประสานคือ
องค์ประกอบของดนตรีที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานของเสียงมากกว่าหนึ่งแนวเสียง
เสียงประสานเป็นองค์ประกอบดนตรีที่สลับซับซ้อนกว่าจังหวะและทำนอง
แสดงถึงความประณีตในการประพันธ์
อย่างไรก็ตามในบางวัฒนธรรมอาจจะไม่พบการประสานเสียงของดนตรีเลย เช่น
ดนตรีพื้นเมืองหรือดนตรีพื้นบ้านที่มีความเรียบง่ายของการประพันธ์
ซึ่งเป็นดนตรีที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของตนเอง
การประสานเสียงนั้นมี 2 ลักษณะคือ
การประสานเสียงที่มีลักษณะของเสียงที่กลมกลืนกันและไม่กลมกลืนกัน
เสียงประสานที่กลมกลืน (Consonance)
เสียงประสานที่กลมกลืนกันนั้น
เมื่อฟังแล้วจะทำให้เกิดความรู้สึกกลมกล่อม สบายหูสามารถพบได้ในหลายๆวัฒนธรรมดนตรี
เสียงประสานที่ไม่กลมกลืน (Dissonance)
เสียงประสานที่ไม่กลมกลืนกัน
เมื่อฟังแล้วจะทำให้เกิดความรู้สึกขัดหู ตึงเครียด ค้างหรือแขวนอยู่
ลักษณะของเสียงประสานที่ไม่กลมกลืนกันมักจะไม่พบในวัฒนธรรมดนตรีตะวันออก
แต่ในวัฒนธรรมดนตรีตะวันตกจะมีการใช้เสียงประสานในรูปแบบนี้
4.จังหวะ (Rhythm)
จังหวะสามารถแบ่งออกได้เป็นลักษณะสำคัญดังนี้
อัตราจังหวะ (Meter)
โดยทั่วไปบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นอย่าง
มีระเบียบแบบแผนจะมีอัตราจังหวะที่ชัดเจน เช่น บทเพลงประเภทเพลงเถาในดนตรีไทยจะมี
3 ท่อน ท่อนที่ 1 มีอัตราจังหวะ 3 ชั้น ท่อนที่ 2 มีอัตราจังหวะ 2 ชั้น และท่อนที่
3 มีอัตราจังหวะ 1 ชั้นหรือชั้นเดียว โดยฉิ่งจะทำหน้าที่กำกับจังหวะ อัตราจังหวะ
ซึ่งผู้บรรเลงมีความจำเป็นต้องทราบถึงอัตราจังหวะเหล่านี้
หรือบทเพลงในดนตรีคลาสสิคของอินเดีย ก็จะมีอัตราจังหวะที่หลากหลาย
ในวัฒนธรรมดนตรีตะวันตกซึ่งมีการบันทึกดนตรีเป็นโน้ตดนตรีที่ชัดเจนอย่างมี ระบบ
ก็ได้แสดงหรือบ่งบอกอัตราจังหวะของเพลงไว้อย่างชัดเจนเช่นกัน เช่น
บทเพลงในลักษณะจังหวะแบบสามช่า (cha cha cha) ก็จะมีอัตราจังหวะ
4/4 ซึ่งหมายความว่า ในหนึ่งห้องเพลงจะมี 4 จังหวะ เป็นต้น
ความช้า - เร็วของจังหวะ (Tempo)ฃ
ดนตรีทุกชนิดในโลกจะมีความช้าเร็วของจังหวะเพลง
เช่นเพลงที่ใช้ประกอบการเต้นรำเพื่อความสนุกสนาน ก็อาจจะมีจังหวะที่ค่อนข้างกระชับ
รวดเร็ว ตรงกันข้ามกับเพลงที่ใช้กล่อมเด็ก ก็มีจังหวะที่ค่อนข้างช้า
เป็นเรื่องของเสียงที่เคลื่อนที่ไปในช่วงเวลา
ดังนั้นองค์ประกอบเรื่องเวลาจึงเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของดนตรี ทางดนตรีองค์ประกอบเรื่องเวลาประกอบไปด้วย
ความเร็วของจังหวะ (Tempo) อัตราจังหวะ (Meter)
และจังหวะ (Rhythm)
ความช้า - เร็วของจังหวะ
อาจจะเกิดขึ้นในลักษณะช้าหรือเร็วขึ้นทันทีทันใด
หรืออาจจะเป็นลักษณะค่อยๆช้าลงหรือค่อยๆเร็วขึ้น ซึ่งในดนตรีตะวันตกจะมีการบอกหรือแสดงเครื่องหมายไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้อง
บรรเลงอย่างไร โดยใช้คำศัพท์ในภาษาอิตาเลียน เช่น
Presto
หมายถึง เร็วที่สุด
Vivace
หมายถึง เร็วมาก
Allegro
หมายถึง เร็ว
Allegretto
หมายถึง
ค่อนข้างเร็ว
Moderato
หมายถึง ปานกลาง
Andantino
หมายถึง
ค่อนข้างช้า
Andante
หมายถึง ช้า
Largo
หมายถึง ช้ามาก
สำหรับในวัฒนธรรมอื่นๆมิได้มีการแสดงหรือระบุไว่าจะต้องบรรเลงอย่างไร
แต่ผู้บรรเลงสามารถบรรเลงโดยมีความเข้าใจร่วมกัน เช่น ในบทเพลงเถาของไทย
ผู้บรรเลงจะต้องบรรเลงให้ช้าหรือเร็วอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับกำกับจังหวะของฉิ่งในแต่ละท่อนเพลง
5. รูปแบบ
ดนตรีที่ประพันธ์ขึ้นอย่างมี ระเบียบแบบแผน จะมีรูปแบบที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งได้แก่ ดนตรีที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อการฟังที่เรียกว่า ดนตรีศิลป์ หรือดนตรีชั้นสูงของแต่ละชาติ หรือดนตรีประจำชาติ เช่น ดนตรีตะวันตกจะมีโครงสร้างของบทเพลงที่ชัดเจน บทเพลงจะมีการแบ่งออกเป็นท่อนต่างๆ เช่น บทเพลงประเภทรูปแบบ Concerto จะมี 3 ท่อน คือ ท่อนที่ 1 เป็นแบบ Allegro มีจังหวะเร็ว ท่อนที่ 2 ช้า และท่อนที่ 3 เร็ว ในแต่ละท่อนก็จะมีรูปแบบปลีกย่อยออกไปอีก เช่น ในท่อนที่ 1 อาจจะเป็นแบบ Rondo ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ท่อน A B A B หรือตัวอย่างเช่นในบทเพลงไทยเดิมลักษณะรูปแบบเพลงเถา ก็จะประกอบด้วย 3 ท่อน ท่อนที่ 1 เป็นอัตราจังหวะ 3 ชั้น ท่อนที่ 2 เป็นอัตราจังหวะ 2 ชั้น และท่อนที่ 3 เป็นอัตราจังหวะ 1 ชั้น
องค์ประกอบดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย
องค์ประกอบของดนตรี ได้แก่ การเคลื่อนไหว การฟังดนตรี การร้องเพลงและการปูพื้นฐานเครื่องดนตรี องค์ประกอบดังกล่าวจะช่วยให้ครูจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมแก่เด็กได้
1. การปูพื้นฐานทางจังหวะดนตรี
- การเคลื่อนไหว
- ใช้อวัยวะส่วนต่างๆ
ของร่างกายเป็นอุปกรณ์ดนตรี เช่น ดีดนิ้ว ตบมือ ฯลฯ
- หัดใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะจังหวะ
2. การปูพื้นฐานทางการร้องเพลง
- ให้เด็กร้องเพลงง่ายๆ
เพลงควรมีทำนองที่ร้องง่าย และเนื้องร้องควรจะสั้น
- ให้เด็กหัดเปล่งเสียง
ตามเสียงโน๊ตสากล
3. การปูพื้นฐานทางการฟังดนตรี
- ให้เด็กฟังเพลงไทยและเพลงสากล
-
ให้เด็กรู้จักเสียงที่แตกต่างกันในระดับเสียงต่างๆ
-
ให้เด็กรู้จักเสียงที่แตกต่างกันของเครื่องดนตรี
4. การปูพื้นฐานทางเครื่องดนตรี
-
แนะนำให้เด็กรู้จักเครื่องดนตรีต่างๆ
-
ให้เด็กหัดใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะจังหวะ
การจัดกิจกรรมทางดนตรีแก่เด็กปฐมวัยนั้น
จุดมุ่งหมายไม่ได้อยู่ที่การจะให้เด็กเป็นนักดนตรีในอนาคต
แต่เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อให้เด็กมีพื้นฐานและมีใจรักในดนตรี
กิจกรรมดนตรีพื้นฐานของเด็กปฐมวัยรวมอาการร้อง การฟังการเล่นเครื่องดนตรี
และการเคลื่อนไหวเข้าจังหวะดนตรีมาผสมปนกันนั่นเอง เด็กควรมีความสามารถทำสิ่งต่อไปนี้
ได้ก่อนจะพัฒนาขั้นก้าวหน้า
1. ควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้ และความสามารถในการสัมพันธ์ทักษะ
การเคลื่อนไหวกับดนตรี
2. ความสามารถในการฟังดนตรี
3. การใช้เครื่องดนตรี
1.การเคลื่อนไหว
เด็กเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่เป็นทารก
หรือแม้แต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา เดือนแรก ๆเด็กจะเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อศีรษะก่อน
หลังจากนั้นจึงจะเคลื่อนไหวไหล่ แขน ลำตัวและขา การพัฒนาการเคลื่อนไหวก็เริ่มจากกล้ามเนื้อใหญ่ไปกล้ามเนื้อเล็ก
การควบคุมการเคลื่อนไหวเริ่มตั้งแต่ส่วนกลางของร่างกาย แล้วขยายออกไป
เด็กยกศีรษะได้ก่อนนั่ง ยืนหรือเดิน
แล้วพัฒนาถึงขั้นหยิบไม้บล็อกด้วยมือทั้งมือก่อน
จะสามารถหยิบด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
เมื่ออายุสองปี เด็กสามารถคลาน ม้วนตัว ผลักและลากได้
การตอบสนองทางด้านจังหวะดนตรีเพิ่มขึ้นตามลำดับ เด็กสองขวบสนุกกับการเต้น โยกตัว
เขย่าแขน ผงกศีรษะ กระทืบเท้า และตบมือไปตามเสียงเพลง
สามารถเลียนแบบผู้อื่นในการวิ่ง กระโดดเหวี่ยงตัวตามจังหวะ
เด็กบางคนสามารถเดินจังหวะมาร์ชได้
เด็กอายุสามปี สามารถเคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรีได้ดีขึ้น
และสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วหรือช้าได้นิ่มนวลขึ้น รวมทั้งการควบคุมร่างกาย
สามารถวิ่งหยุด หมุนได้ แต่ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและกล้ามเนื้อ เมื่อเด็กแสดงทักษะการกระทำซ้ำๆ เช่น เดินขึ้นลงบันได
เดินไปข้างหน้าและถอยหลังแสดงการเคลื่อนไหวที่ได้เรียนไปซ้ำๆ
แสดงถึงแนวโน้มที่จะพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
2.การฟังดนตรี
แรมซี และเบย์เลส (Ramsey
& Bayless. 1980 : 144-146) กล่าวว่า ทักษะการฟังขั้นสูง
จะสามารถพัฒนาได้ เมื่อมีการเน้นการฟังดนตรี ในการเตรียมกิจกรรมการฟัง
ครูควรจัดบรรยากาศซึ่งจะพัฒนานิสัยในการฟังสิ่งของต่างๆเช่น ของเล่นเล็กๆ
ที่จะทำให้เด็กไม่สนใจฟังดนตรี
ควรนำออกไปจากมือเด็กครูควรจัดเด็กให้นั่งอยู่ในที่ๆ จะรับฟังได้ดี
เสียงที่รบกวนการฟังของเด็กควรลดให้น้อยลง
เนื่องจากการฟังจะมีส่วนในการพัฒนาทักษะทางดนตรีเด็กครูควรเลือกสรรและเตรียมกิจกรรมหลากหลายเพื่อพัฒนาทักษะทางดนตรีของเด็ก
3.การใช้ดนตรี
เด็กเล็กจะชอบใช้ร่างกายทำเป็นเครื่องดนตรีเพื่อก่อให้เกิดเสียงต่างๆเช่น
การตบมือ การดีดนิ้ว การกระแทก
กระทืบเท้าขณะที่ฟังเสียงดนตรีหลังจากการทดลองใช้ร่างกายทำเป็นเครื่องดนตรีแล้ว
ครูควรนำสิ่งของที่ทำให้เกิดเสียงได้ แล้วนำเครื่องดนตรีมาให้เด็กทดลอง เด็กควรมีโอกาสได้แยกแยะ
และจัดประเภทของสิ่งของตามเสียงที่เขาทำ ตัวอย่างเช่นให้วางเครื่องดนตรี
และสิ่งของที่มีเสียงเหมือนระฆังไว้ด้วยกัน เป็นต้นการรวบรวม และทดลองทำเสียงต่างๆ
เป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญ ในการแนะนำเครื่องดนตรีสำหรับเด็ก
การเลือกเพลงที่จะนำมาใช้กับเด็กปฐมวัยมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเพลงมีอิทธิพลต่อจิตใจของเด็กเพลงบางเพลงอาจจะทำให้เด็กคึกคักอยากกระโดดโลดเต้นบางเพลงก็สนุกสนานบางเพลงก็ชวนให้เคลิบเคลิ้มอยากนอนหลับซึ่งทั้งนี้อยู่ที่การจะเลือกนำเพลงมาใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์การเลือกเพลงสำหรับเด็กจึงควรพิจารณาดังนี้
1. เลือกเพลงที่เหมาะกับวัยของเด็กเด็กระดับปฐมวัยยังเรียนรู้คำได้ไม่มากนักและยังไม่สามารถจำถ้อยคำที่ยากหรือประโยคยาว ๆ ได้ดังนั้นจึงต้องเลือกเพลงที่มีเนื้อร้องสั้น ๆ มีคำซ้ำ ๆ และกล่าวถึงสิ่งที่เด็กรักและพอใจประกอบด้วยถ้อยคำและทำนองที่ช่วยให้เด็กเกิดอารมณ์สนุกสนานร่าเริงเช่นเพลงตุ๊กตาเพลงสัตว์เพลงรถไฟเครื่องบิน ฯลฯ ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องที่ 10.2.1 ลักษณะของเพลงเด็กปฐมวัย)
ตัวอย่างเพลงที่เด็กระดับปฐมวัยขอบร้องเพลง(ตุ๊กตาตัวใหม่)
ตุ๊กตาตัวใหม่ กระต่ายชะนี
เล่นกันที่ดี เอาไปฉันแบ่งให้เธอ
เพลงจับปูดำ
(เนื้อร้องและทำนองโดยสุกรไกรเลิศ)
จะจับปูดำขยำปูนา จะจับปูม้ากลับไปคว้าเอาปูทะเล
สนุกจริงเอยแล้วเลยนอนเปล ชะโอละเห่นอนในเปลให้หลับไป
2. เลือกเพลงให้เหมาะกับโอกาสที่จะใช้การเลือกเพลงมาร้องให้เด็กฟังหรือสอนให้เด็กหัดร้องต้องดูให้เหมาะสมกับเวลาและโอกาสที่จะใช้ด้วยเช่นเวลาต้องการให้เด็กพักผ่อนหรือนอนตอนกลางวันจะต้องเลือกเพลงที่มีเสียงทุ้มนุ่มมีลีลาช้า ๆ นิ่มนวลอ่อนหวานเพื่อช่วยให้เด็กมีความรู้สึกสบายใจผ่อนคลายอารมณ์และกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย
ตัวอย่างเพลงที่ใช้เวลาเด็กนอน
เพลงน้องนอน (เนื้อร้องและทํานองโดยว่าที่ร. ต. อวบเหมะรัชตะ)
น้องนอนนอนพักให้สบาย ใจกายพักคลายเมื่อได้หลับนอน
ปวงเทวาพระไตรรัตน์ข้ากราบวอน โพยภัยอย่ามาร้าวรอนน้องนอนพักหลับเถิดเอย
เพลงนอนเกิดตุ๊กตา
ตุ๊กตา ตุ๊กตา นอนเสียเถิดหนาตุ๊กตาคนดี
หลับตาพี่จะกล่อม สุดถนอมของพี่
นอนเถิดคนดี ตื่นขึ้นโตเร็วเร็ว
ถ้าในโอกาสที่ต้องการปลุกใจให้เด็กเข้มแข็งว่องไวกระปรี้กระเปร่าเช่นเวลาเดินเวลาเล่นแข่งขันก็ต้องเลือกเพลงที่มีทำนองเร้าใจมีลีลาค่อนข้างเร็วเพื่อช่วยให้เด็กตื่นตัวว่องไวขึ้น
ตัวอย่างเพลงที่เร้าใจ
เพลงเข้าแถว
เข้าแถว เข้าแถว อย่าล้ำแนวยืนเรียงกัน อย่าแซเรือนรีบตามเพื่อนให้ทัน
ระวังเดินชนกัน เข้าแถวพลันว่องไว
3.เลือกเพลงที่มีคุณค่าก่อเด็ก บางครั้งเด็กมักจะจดจำเพลงที่ผู้ใหญ่ร้องกัน ซึ่งบางเพลงก็มีเนื้อร้องที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก ไม่ได้ให้คุณค่าอะไรแก่จิตใจเด็ก เด็กเพียงแต่ร้องเพื่อความเพลิดเพลินโดยไม่มีความหมายอะไร ฉะนั้นผู้ใหญ่จึงควรจะเลือกเพลงที่ให้ประโยชน์ต่อเด็ก เช่นประโยชน์ในด้านสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดีงาม สร้างเสริมด้านคุณธรรม และประโยชน์ในด้านส่งเสริมทักษะทางภาษา
ตัวอย่างเพลงที่ให้คุณค่าในด้านสร้างเสริมลักษณะนิสัยและคุณธรรม
เพลงเล่นแล้วเก็บ
(เนื้อร้องและทำนองโดย ศรีนวล รัตนสุวรรณ
แผ่นกัน
เช่นกัน ที่ดี
ต้องสามัคคีเราเป็นเพื่อนกัน
ของเล่นเราเล่นด้วยกัน เมื่อเลิกเล่นพลันช่วยกันเก็บเอย
เพลงขอบคุนขอบใจ
(เนื้อร้องและทำนองโดย เตือนใจ ศรีมารุด)
เมื่อผู้ใหญ่ใจดีให้ของ หนู หนู ควรต้องนึกถึงพระคุณ
น้อมไหว้กล่าวคำขอบพระคุณ
เพื่อนมีใจเสียเฝ้าการุณ
นึกถึงบุญคุณกล่าวคำ ขอบใจ
4. เลือกเพลงให้สัมพันธ์กับสิ่งที่จะสอน ในการสอนเพลงให้แก่เด็กนั้น เราไม่ได้มุ่งหมายให้เด็กได้รับความเพลิดเพลินเพียงอย่างเดียว แต่เรามุ่งจะให้เด็กได้รับความรู้ด้วย ดังนั้นครูจึงต้องคำนึงถึงความหมายของเนื้อร้องในบทเพลงให้สัมพันธ์กับเรื่องที่จะสอน จึงจะได้ประโยชน์แก่เด็ก ซึ่งปัจจุบันมีผู้แต่งเพลงที่สามารถนำมาใช้สอนให้สัมพันธ์กับเรื่องต่าง ๆ ไว้มาก เช่นเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ พืช ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ฯลฯ
เพลงและดนตรีช่วยเสริมสร้างสุขภาพและพลานามัยของเด็ก
การเล่นร้องเพลงของเด็กนั้น
เด็กไม่เพียงแต่นั่งร้องหรือยืนร้องเท่านั้น แต่เด็กพอใจที่จะทำท่าทางประกอบไปด้วย
เนื่องด้วยเด็ก ๆ รอบเปลี่ยนอิริยาบถ ขอบเคลื่อนไหวกระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะเพลง
ดังนั้นเพลงและดนตรีจึงสามารถใช้เป็นสิ่งเร้าเพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวกล้าม-เนื้อ
แขนขา นิ้วมือและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี
การที่เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง
ๆของร่างกายจะเป็นการช่วยให้เด็กมีร่างกายแข็งแรงและพลานามัยที่สมบูรณ์
ซึ่งจะมีผลเกี่ยวโยงไปถึงพัฒนาการด้านอารมณ์ สังคม จิตใจ
และสติปัญญาของเด็กอีกด้วย
เพลงและดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก
เพลงและดนตรีช่วยพัฒนาอารมณ์ของเด็กในแง่ให้ความเพลิดเพลิน
สนุกสนานร่าเริงช่วยให้ด็กได้แสดงออกตามความต้องการและความสามารถ
ช่วยถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของเด็ก ช่วยให้เด็กผ่อนคลายความเครียด
ดังจะเห็นได้จากการสังเกตเด็กเวลาร้องเพลงเล่นกันเด็กจะมีหน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน
แม้เด็กบางคนจะมีอารมณ์หงุดหงิด
แต่เมื่อได้ร้องร้าทำเพลงหรือได้ฟังเพลงสักครู่ก็จะค่อนคลายความไม่สบายใจลง
เพราะความไพเราะของเพลง ลีลาและท่วงทำนองเพลง
จะช่วยกล่อมอารมณ์ของเด็กให้เพลิดเพลินตามไปด้วยเด็กที่ชอบร้องเพลงนั้น
นอกจากตัวเองจะมีความสุขแล้ว ยังช่วยทำให้เพื่อน ๆ มีความสุขความเบิกบานใจไปด้วย
ดังที่ “น้องอ้อม” เด็กหญิงเล็ก ๆ วัย 4 รวบได้เคยทำให้เพื่อน ๆ
ได้หัวเราะด้วยความสนุกขบขันมาแล้ว
ดังนี้น้องอ้อมเป็นเด็กที่มีอารมณ์ดีและช่างพูดช่างคุยที่สุดในห้อง
มักจะชอบร้องเพลงอยู่ในลำคอเสมอเวลาที่เล่นตุ๊กตาหรือเล่นที่มุมบ้าน
เพลงที่น้องอ้อมร้องนั้นบางครั้งก็จับใจความไม่ค่อยได้ เพียงแต่อยากร้องอะไรก็ร้อง
เช่น เต่อเอีย เอเชีย บางครั้งก็มีแต่เสียง
ถือยาอยู่ในลำคอคุณสมบัติพิเศษคือเป็นผู้ที่ให้ความเบิกบานแก่เพื่อนด้วยเสียงเพลง
เพราะหนูอ้อมมักจะจำเพลงมาจากโทรทัศน์บ้าง จำมาจากที่ร้องที่บ้านบ้าง
บางครั้งก็มีเพลงแปลก ๆ มาร้องเช่น “จะไปดูหนังไทย นางเอกสวยดีเสียแต่ไม่มีฟาง
ทั้งวาง ต่อยทั้งทีเดียว” ทำให้เพื่อน ๆ ต้องหัวเราะด้วยความขบขัน
เพราะหนูอ้อมพูดไม่ชัด ยังแถมร้องเพลงตลกให้ฟังอีกเป็นที่ชอบใจกันทั้งห้อง
เพลงและดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางสังคมของเด็ก
เมื่อหนูอ้อยมาโรงเรียนในระยะแรก ๆ
หนูอ้อยไม่ยอมเข้าห้องเรียนเละไม่ยอมทำอะไรทั้งสิ้นแต่สิ่งหนึ่งที่ครูทราบจากทางบ้านคือ
หนูอ้อยชอบร้องเพลงและชอบฟังเพลง
ดังนั้นครูจึงคิดว่าควรจะใช้เพลงเป็นสื่อช่วยให้หนูอ้อยเข้ากับเพื่อน ๆ ได้
จึงชักชวนหนูอ้อย
ครู “หนูอ้อยมานั่งตรงนี้ซิคะ
อ้อย "ไม่นั่ง
ครู “ถ้าอย่างนั้นยืนตรงนั้นก่อนนะคะ”
ร้อย “ไม่ถึง (ย้อยพูดไม่ค่อยชัด)”
ครู “อ้อยอยากเล่นกับเพื่อน ๆ ไหมคะ”
ตั้ง “ไม่เต่ง ไม่ท้างน้าง”
หนูอ้อยยังคงยืนอยู่ที่เดิมที่หน้าห้องเรียน ตรูก็ไม่ได้ว่าอะไร
ครูเปิดเทปเพลงเสื้อให้เด็กอื่น ๆฟังและชักชวนให้เด็ก ๆ ทำท่าบินเหมือนผีเสื้อ
เด็กหลายคนออกมาทำท่าบินตามครู ย้อยเริ่มจะสนใจพร้อมกับพูดว่า
เพลงนี้เค้าก็ร้องเป็น ตรูให้เด็กกลุ่มหนึ่งล้อมวงเป็นดอกไม้
อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผีเสื้อบินไปตามดอกไม้ เด็ก ๆ หัวเราะชอบใจ เวลาที่มีเสื้อทำท่าบินมาตอมดอกไม้
ครูทำเป็นไม่สนใจว่าอ้อยจะดูหรือไม่
แต่สังเกตดูตลอดเวลาว่าอ้อยค่อยขยับเข้ามาทีละน้อย
และในที่สุดก็เข้ามาร่วมเล่นด้วย หนูอ้อยทำท่าบินได้อ่อนช้อยน่ารัก
ครูพยายามไม่ทำท่าหรือพูดเป็นทำนองล้อเลียนว่าเข้ามาเล่นทำไม
แต่ทำท่าธรรมดาและชมเชยว่าหนูอ้อยทำได้ดีมาก ในชั่วโมงต่อ ๆ
มาหนูอ้อยก็ยอมเข้าห้องเรียนและเล่นรวมกับเพื่อนจะเห็นได้ว่าเพลงและดนตรีมีส่วนช่วยโน้มน้าวให้เด็กอยากเรียนอยากเล่นร่วมกับเพื่อนโดยที่ครูไม่ต้องใช้วิธีการบังคับอย่างใดเลย
เพลงและดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก
เพลงและดนตรีจะช่วยสร้างเสริมความรู้
ความเข้าใจและมโนมติให้กับเด็กในเรื่องต่าง ๆเช่น ธรรมชาติศึกษา คณิตศาสตร์
สังคมศึกษา ฯลฯ และเป็นการช่วยที่เด็กพอใจ
เด็กเข้าใจและจดจำได้เองโดยไม่ต้องมีการบังคับ เช่น ในบทเพลงที่เกี่ยวกับลม ฝน
แมลง นก ขณะที่เด็กร้องเพลงและทำท่าเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
เด็กจะมีความเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้น
หรือในขณะที่เด็กร้องเพลงนับกระต่าย นับลูกแมว
เด็กก็จะได้ความคิดในเรื่องการเพิ่มขึ้น ลดลง การเรียงลำดับที่ไปด้วย
นอกจากนี้กิจกรรมเพลงและดนตรียังช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก
เช่นเมื่อครูให้ช่วยกันคิดว่า ใครจะทำท่าอะไรตามจังหวะดนตรีนี้ได้อีก
หรือเราจะท่าท่าอย่างไรจึงจะแสดงความหมายของเนื้อเพลงนี้ได้
ลองช่วยกันแต่งเดิมเพลงนี้ให้ต่างออกไปบ้างได้หรือไม่ซึ่งบางครั้งเด็กจะสามารถทำได้อย่างดี
เช่น เมื่อครูสอนเพลง “นี้ นั้น โน้น” ให้แก่เด็ก ในเนื้อเพลงกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ
ว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ดี สิ่งโน้นก็ดี ดังนี้
เสื้อตัวนั้นฉันก็ว่าดี
เสื้อตัวนี้ก็น่ารัก เสื้อตัวโน้นก็สวยยิ่งนัก ฉันรักหมดทุกตัว
หมวกใบนั้น…..
ร่มคันนั้น.....
เมื่อเด็กร้องและจำได้ดีแล้ว
ครูแนะให้เด็กลองคิดว่าจะร้องอย่างไรได้อีก ตุ๊กตึกร้องว่า
ตุ๊กตาตัวนั้นฉันก็ว่าดี ตุ๊กตาตัวนี้ก็น่ารัก ตุ๊กตาตัวโน้นก็สวยยิ่งนัก
ฉันรักหมดทุกตัว ทุกคนเลยช่วยกันดูสิ่งของในห้องเรียนแล้วนำมาร้อง อ้อยร้องว่า
ถ้วยใบนั้นฉันก็ว่าดี... อ๊อดร้องว่า
เก้าอี้ตัวนั้นฉันก็ว่าดี...ครูเลยถือโอกาสตอนเด็กถึงเรื่องลักษณะนามไปด้วย
เช่นเสื้อเรียกว่าตัว ช้อนเรียกว่าต้น ฯลฯ เพราะในระยะปฐมวัย
เด็กมักจะมีความสับสนในเรื่องของลักษณะนาม เช่น บอกว่า มีช้อน 3 ช้อน มีเรื่อง
เรือ มีดินสอ 1 อัน เหล่านี้เป็นต้น
เพลงและดนตรีช่วยเพิ่มพูนทักษะทางภาษาให้แก่เด็ก
เพลงและดนตรีช่วยให้เด็กรู้จักฟังและแยกความแตกต่างของเสียงสูง ต่ำ ค่อยพนัก เบา รู้จักแยกจังหวะช้าเร็ว
ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการฟังคำพูดซึ่งประกอบไปด้วยเสียงหนักเบาและเสียงวรรณยุกต์ที่ต่างกันเพลงและดนตรีจะช่วยในด้านการพูดและการอ่านออกเสียงของเด็ก
เพราะในขณะที่เด็กร้องเพลง เด็กจะต้องรู้จักควบคุมการหายใจ
รู้จักควบคุมการเคลี่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูด รู้จักจังหวะของคำพูด
รู้จักรูปประโยคที่ถูกต้อง
และเด็กจะชอบเล่นกับคำพูดซึ่งเป็นบทคล้องจองที่อยู่ในเพลงนั้น
เนื่องจากเพลงทุกเพลงจะต้องมีเนื้อร้องที่สัมผัสกัน เช่น
นกเอยนกน้อยบินลอยตามสายลม คำว่าน้อยกับลอยสัมผัสกัน ปีกหางกางสวยสม
คำว่าลมกับสมก็สัมผัสกันซึ่งด้วยลักษณะของคำที่คล้องจองกันเช่นนี้ที่ทำให้เด็กสามารถจำเพลงได้ง่ายขึ้น
เราจะสังเกตเห็นว่า แม้ในบางเพลงของผู้ใหญ่ซึ่งมีคำและประโยคยาว ๆ แต่เด็กก็สามารถจำได้บางเพลงจะประกอบด้วยคำใหม่ซึ่งเด็กยังไม่ทราบ
เด็กก็จะได้ความรู้เกี่ยวกับคำใหม่ ๆเพิ่มขึ้น เช่น มีอยู่วันหนึ่งครูสอนเพลง
“เด็กดี” ให้กับเด็กซึ่งมีเนื้อร้องว่า
เด็ก เด็กทุกทุกคน ต้องทำตนเป็นเด็กดี
คุณครูจะปรานี เพราะความดีของเรานี่เอยครูร้องเพลงนี้จบ
หนุงหนิงรีบถามว่า “คุณครูขา ปรานีแปลว่าอะไรคะ” ครูก็ได้ถือโอกาสอธิบายความหมายของคำว่าปรานีให้เด็กทราบว่าแปลว่า
เอ็นดู เมตตา สงสาร เป็นคำที่ผู้ใหญ่ใช้กับเด็ก
และลองให้เด็กคิดดูว่าใครจะใช้คำนี้กับเด็กอีกนอกจากครู ซึ่งตุ๊กตาถามครูว่า
พ่อแม่ ใช้กับลูกได้ไหมคะ จะเห็นได้ว่า
จากคำที่มีอยู่ในบทเพลงนี้ทำให้เด็กได้ประสบการณ์ทางภาษากว้างขวางขึ้นอีก
เพลงและดนตรีช่วยสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดีให้แก่เด็ก
ในการที่จะปลูกฝังและส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีให้แก่เด็กนั้นครูสามารถจะใช้เพลงช่วยได้เป็นอย่างมากถ้าเลือกเพลงได้เหมาะสม
ในปัจจุบันนี้มีบทเพลงสำหรับเด็กเป็นอันมากซึ่งมีเนื้อร้องที่มีส่วนช่วยในการสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดีให้แก่เด็ก
เช่น เพลงเกี่ยวกับการรักษาความสะอาด
เพลงเกี่ยวกับความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพลงเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัยความสามัคคี
ฯลฯ ซึ่งครูจะเลือกมาสอนให้กับเด็กได้ เช่น เมื่อครูสังเกตว่าเด็ก ๆ
มักจะชอบทิ้งขยะไม่เป็นที่หรือเล่นของเล่นแล้วไม่เก็บ ก็อาจจะใช้เพลง
“อย่าทิ้งต้องเก็บ” มาร้องให้เด็กฟังและสอนให้เด็กร้องซึ่งก็ได้ผล
เพราะวันหนึ่งเจี๊ยบตัดกระดาษทิ้งไว้บนโต๊ะเต็มไปหมด
และพอถึงเวลาหยุดพักก็ทำท่าจะวิ่งออกไปทันที พอครูร้องว่า “อย่าทิ้ง อย่าทิ้ง
อย่าทิ้ง" ตุ๊กจะรีบต่อว่า “ทิ้งแล้วจะสกปรก” อ๊อดก็ต่อให้จบว่า
“ถ้าเราเห็นมันรก ต้องเก็บ ต้องเก็บ ต้องเก็บ” และทุกคนต่างก็มองมาที่เจี๊ยบ
ทำให้เจี้ยบต้องรีบเก็บเศษกระดาษทิ้งลงในตะกร้า และในครั้งต่อไป
ถ้าใครที่ชอบทิ้งเศษกระดาษ เด็ก ๆ ก็จะเตือนกันเองด้วยเพลงนี้โดยครูไม่ต้องคอยบอก
เพลงและดนตรีช่วยพัฒนาในด้านระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียงให้แก่เด็ก
ในการที่จะให้เด็กรักษาระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียงนั้น
ครูจะใช้เพลงและดนตรีช่วยได้เป็นอย่างดีโดยที่ไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อย
หรือเคี่ยวเข็ญบังคับ เช่น ครูจะให้สัญญาณที่เป็นเสียงเพลงหรือดนตรีกับเด็กว่า
ถ้าได้ยินเสียงสัญญาณนี้ ทุกคนจะต้องมาเข้าแถว
สัญญาณนี้ทุกคจะต้องเลิกเล่นและช่วยกันเก็บของ ซึ่งครูอาจใช้สัญญาณที่เป็นเสียงดนตรีง่าย
ๆ เช่น เสียงนกหวีดเป่าเป็นจังหวะ หรือเสียงกลอง เสียงกระดิ่ง
หรือบทเพลงใดเพลงหนึ่ง
สัญญาณที่ผู้เขียนเคยใช้กับเด็กเวลาที่ต้องการให้เด็กทำอย่างใดอย่างหนึ่งพร้อม ๆ
กันคือในตอนเช้าและเวลาเล่นในห้องเรียน ถ้าได้ยินเสียงกลองรัว ทุกคนจะต้องรีบเก็บของแล้วไปล้างมือ
พอเสียงระฆัง ทุกคนจะต้องมาเข้าแถวเคารพธงชาติพร้อมกันเวลาที่ลงเล่นสนาม
ถ้าได้ยินเสียงครูตบมือรัว ๆ เร็ว ๆ และดัง
ทุกคนจะต้องเลิกเล่นแล้ววิ่งมาเข้าแถวตรงหน้าที่ครูยืนอยู่เวลารับประทานอาหารจะใช้เครื่องดีซึ่งไล่เสียงได้เป็นเสียงสูงต่ำ
ถ้าตีครั้งเดียวแปลว่าทุกคนต้องเข้านั่งประจำที่เรียบร้อย ถ้าดีไล่เสียงสูงต่ำ
แปลว่าลงมือรับประทานได้ ถ้าเด็กเข้าใจและเคยชินกับสัญญาณเหล่านี้
เด็กจะปฏิบัติทุกอย่างได้ดีอย่างพร้อมเพรียงกัoโดยครูไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการที่จะต้องคอยตะโกนบอกกันอยู่ทุกระยะ
จึงกล่าวได้ว่านอกจากเสียงดนตรีจะช่วยพัฒนาเด็กแล้วยังเป็นการช่วยผ่อนแรงให้ครูได้อีกด้วย
นอกจากนี้ในเวลาที่เด็กเล่นเดินแถวแบบทหาร
ถ้าต้องการให้เด็กรู้จักเดินให้พร้อมกันก็จะต้องใช้เสียงเพลงหรือดนตรีเข้าช่วย
มิฉะนั้นเด็กจะเดินไปคนละทางสองทางเพราะไม่มีจังหวะเพลงหรือดนตรีคอยควบคุมอยู่
ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าโดยทั่ว ๆ ไปครูมักจะใช้นกหวีด
ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่หาได้ง่าย ใช้ได้ง่ายและสะดวก
การออกแบบการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหว
กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
1.
เพื่อให้เด็กสามารถทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวพื้นฐานได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว
2.
เพื่อให้เด็กสามารถทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวประกอบเพลงและดนตรีอย่างมีความสุข
3.
เพื่อให้เด็กสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้
ขั้นนำ
ครูเตรียมเด็กก่อนทำกิจกรรม โดยครูให้เด็กยืนจับมือเป็นวงกลม
เตรียมพร้อมสำหรับการทำกิจกรร
ขั้นสอน
ครูสนทนากับเด็กเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะจัดให้กับเด็กในวันนี้
โดยอธิบายกิจกรรมที่จัดให้เด็ก พูดถึงกฎกติกา ระเบียบการปฏิบัติตนในการทำกิจกรรม
เพื่อรักษาความปลอดภัยของตนเองในการเคลื่อนไหวร่างกาย
1
การเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมความพร้อมร่างกาย
2.
การเคลื่อนไหวพื้นฐาน
3. การเคลื่อนไหวสัมพันธ์เนื้อหา
3.1 ครูร้องเพลง “หนาว หนาว หนาว” ให้เด็กฟัง 1-2 รอบ
จากนั้นให้เด็กร้องเพลงตาม
3.2 เมื่อเด็กร้องเพลงได้แล้ว
ครูให้เด็กแสดงท่าทางประกอบเพลงตามจินตนาการ
ขั้นสรุป
เด็กและครูร่วมกันสรุปถึงการเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะช้า-เร็วสลับกัน
ทำให้นักเรียนมีร่างกายที่แข็งแรงเพราะได้เคลื่อนไหวร่างกายตามคำสั่งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายได้เคลื่อนไหวร่างกาย
กระบวนการคิดเชื่อมโยงเหตุผลในการแสดงท่าทางตามคำสั่ง
ฝึกทักษะการสังเกตโดยการเคลื่อนไหวร่างกายไม่ให้ชนกับผู้อื่น
และการเคลื่อนไหวตามเนื้อหาของเพลงตามจินตนาการ
สื่อ
1.เพลง “หนาว หนาว หนาว”
2. ลูกซัดขวด
การประเมิน
1.
สังเกตพฤติกรรมการเคลื่อนไหวพื้นฐานของเด็ก
2.
สังเกตพฤติกรรมเด็กขณะทำท่าทางประกอบเพลงและดนตรี
3. สังเกตการปฏิบัติตามข้อตกลง
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหว
ซึ่งมีวิธีการทำดังนี้
ลูกซัดขวด
วัสดุที่ใช้
1. ขวดพลาสติก
2. เมล็ดถั่วเขียว
3. รูปภาพสวย ๆ งาม ๆ ตามที่ต้องการ
วิธีทำ
1. ล้างขวดพลาสติกให้สะอาด
2. ใส่เมล็ดถั่วเขียวให้พอประมาณ
3. ติดรูปภาพ ตกแต่งให้สวยงาม
รูปแบบการจัดกิจกรรมดนตรีและเพลงสำหรับเด็ก
การที่จะให้เด็กมีความรักและซาบซึ้งในเพลงและดนตรีนั้นเป็นสิ่งที่ฝึกได้ถ้าผู้สอนมีวิธีการสอนที่สนุกสนานและเข้าใจธรรมชาติของเด็ก
ให้โอกาสเด็กได้แสดงออกตามความคิดความรู้สึกโดยทั่วถึงกัน
เพราะเด็กบางคนชอบแต่ไม่กล้าแสดงออก สำหรับในโรงเรียนนั้นผู้ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการฝึกให้เด็กมีพื้นฐานในเรื่องเพลงและดนตรีมากที่สุดคือ
ครู ดังนั้นครูจึงควรจะต้องมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของเพลงและดนตรีที่มีผลเกี่ยวข้องกับตัวเด็กให้มากเพื่อที่จะได้สามารถนำมาใช้ในการช่วยพัฒนาเด็กครูบางคนไม่อยากสอนเพลงและดนตรีให้แก่เด็ก
เพราะคิดว่าตนมีเสียงไม่เพราะ เล่นดนตรีไม่เก่ง คงจะสอนไม่ได้ดี
จึงเกิดความไม่สบายใจในเวลาที่สอน ความจริงแล้ว
ถึงแม้ความสามารถทางด้านเพลงและดนตรีเป็นสิ่งที่จะช่วยครูได้มากก็จริง
แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดหรือเป็นอุปสรรคในการสอนแต่อย่างใด เพราะเด็กส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสนใจว่าครูจะร้องเพลงเสียงดีหรือไม่
สิ่งสำคัญที่เด็กจะสังเกตมากที่สุดคือ ท่าทีของครูที่แสดงออก
ครูจะต้องมีทีท่าว่าชอบร้องเพลง มีความรูระฉับกระเฉง กระตือรือร้นและพร้อมที่จะสอน
ให้ความสนใจต่อเด็กโดยทั่วถึงกัน รู้วิธีที่จะชักจูงใจเด็กให้อยากเล่นร้องเพลง
และเข้าใจธรรมชาติของเด็ก
ข้อปฏิบัติบางประการของครูในการสอนเพลงและดนตรีให้แก่เด็กปฐมวัย
1. สร้างบรรยากาศที่ดีในห้องเรียน
เพื่อช่วยให้เด็กมีความสบายใจในการที่จะฟังและร้องเพลง เช่น
จัดห้องเรียนให้โปร่งสบาย ไม่อุดอู มีอากาศถ่ายเทได้ มีแสงสว่างเพียงพอ
มีพื้นที่ว่างพอที่เด็กจะเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก ถ้าไม่มีที่ว่างพอในห้องเรียน
ก็อาจใช้นอกห้องเรียนได้เช่นที่ระเบียง ที่สนาม หรือตามใต้ร่มไม้
2.
จัดหาเครื่องดนตรีที่ทำขึ้นเองอย่างง่าย ๆ มาไว้ที่ชั้นตรงมุมใดมุมหนึ่งของห้องเรียนเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสทดลองใช้เครื่องดนตรี
เพราะเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ มีความสำคัญในการช่วยให้เด็กเข้าใจจังหวะได้ดีขึ้น
ซึ่งอาจทำได้ง่าย ๆ เช่น ใช้กะลามะพร้าว 2 อันเป็นเครื่องเคาะกลองทำจากกระป๋อง
เครื่องเขย่าทำจากฝาน้ำอัดลม ฯลฯ
3. พยายามชักจูงให้เด็กเห็นว่าเพลงและดนตรีเป็นสิ่งที่ให้ความสุข
ความเพลิดเพลินให้ความสบายใจ โดยไม่บังคับเคี่ยวเข็ญเด็ก
ถ้าเด็กคนใดยังไม่พร้อมที่จะร้องเพลงหรือทำท่าทางประกอบ
ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากความขลาดอายไม่กล้าแสดงออก ก็ไม่ควรบังคับในทันที
ควรปล่อยให้เด็กมีเวลาสังเกต ฟัง จนกระทั่งเด็กเกิดความพอใจที่จะทำเอง
4. ส่งเสริมให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วมในการร้องเพลงและเล่นดนตรี
อย่าส่งเสริมแต่เด็กที่เก่งเท่านั้น รับรู้ในความสามารถตามวัยของเด็ก
เด็กวัยนี้ต้องการเป็นตัวของตัวเอง ควรให้เด็กลองทำเองบ้าง คิดท่าทางเองบ้าง เพื่อให้เด็กเกิดความคิดริเริ่ม
ไม่บังคับว่าจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้เด็กได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ
วางตัวแบบสบายไม่เคร่งเครียด
5.
นำความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กมาเป็นข้อพิจารณาในการสอน เช่น
เมื่อทราบว่าเด็กระดับปฐมวัยมีความสนใจในระยะสั้น ก็เลือกเพลงที่สั้นและร้องง่ายเข้าใจง่ายมาให้เด็กหัดร้อง
พยายามหาวิธีการที่จะให้เด็กสนุกและเกิดภาพพจน์มากที่สุด เช่น
การสอนเกี่ยวกับทำนองเพลงเสียงสูงเสียงต่ำ
ควรใช้อุปกรณ์และกิจกรรมเข้าช่วยหรือเขียนภาพประกอบ
6. วางอารมณ์ให้แจ่มใส มีสีหน้าแช่มชื่น มีอารมณ์ร่วมกับเด็ก
ไม่พิถีพิถันมากเกินไปในเวลาที่เด็กร้องเพลงไม่ถูกหรือทำท่าผิด
แต่แก้ไขแนะนำด้วยวิธีที่นุ่มนวล ใช้ถ้อยคำอ่อนหวานให้คำชมเชย
ยั่วยุให้กำลังใจเด็ก
7. หาทางโน้มน้าวชักจูงเด็กที่ไม่อยากร่วมในกิจกรรม
เพราะการไม่บังคับเด็กนั้นไม่ได้หมายความว่าปล่อยเด็กไว้ตามลำพัง
ถ้าไม่ทำก็ไม่ว่าอะไรปล่อยไว้เป็นเดือนเป็นปี แต่ครูจะต้องหาทางหลอกล่อ
หาวิธีการที่จะโน้มน้าวชักจูงเด็ก ครั้งแรก ๆ อาจจะไม่ได้ผล ควรพยายามชักชวนบ่อย ๆ
ไม่ปล่อยปละละเลย อย่างน้อยควรให้ร่วมกิจกรรมไปด้วย เช่นตบมือ หรือเคาะไม้
หรือเขย่าเครื่องดนตรี
หลังจากที่ได้ศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมดนตรีและเพลงสำหรับเด็กแล้วได้ออกแบบกิจกรรมดนตรีและเพลงสำหรับเด็กและได้ฝึกปฏิบัติจากการจัดกิจจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะทางดนตรีของเด็กปฐมวัยและบันทึกหลังการจัดกิจกรรม
บันทึกหลังจากการจัดกิจกรรม
เด็กเกิดความคิดจินตนาการและการแสดงออกอย่างสรรค์ เด็กๆทุกคนสามารถทำท่าประกอบตามที่ครูร้องเพลงได้ อาจมีบางคนที่ยังไม่คล่องแคล่ว แต่ก็สามารถทำได้
ปัญหาที่พบ
เด็กบริบาลเป็นวัยที่กำลังจะเตรียมเข้าสู่อนุบาล ซึ่งกล้ามเนื้อมในส่วนต่างๆของร่างกายยังไม่แข็งแรงมากนัก จึงทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างช้าๆ ซึ่งเด็กบางคนก็ทำได้ไม่คล่องแคล่ว
อ้างอิง
จิระประภา บุณยนิตย์และคณะ.(2527).วรรณกรรมและลีลาคดีระดับปฐมวัย.พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ :
ฝ่ายการพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช.
อรศิริ ศรีบุรินทร์.ห้องเรียนปฐมวัยKindergarten.[ออนไลน์].
ได้จาก
:
https://sites.google.com/site/hxngreiynpthmwaykindergarten/baeb-thdsxb-
1/phu-cad-tha.[สืบค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563].
_____.(2559).องค์ประกอบของดนตรี.[ออนไลน์]. ได้จาก :
https://sites.google.com/site/music23101/xngkh-prakxb-dntri-2.[สืบค้นเมื่อวันที่ 25
กันยายน 2563].